Image
วัสดุปิดผิวแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
  1. วัสดุปิดผิวที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ ได้แก่ หินแกรนิต หินอ่อน และไม้
  2. วัสดุที่สังเคราะห์ขึ้น ได้แก่ หินสังเคราะห์ หินโปรงแสง (Alabaster) Eco Panel ซึ่งวัสดุแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติ จุดดี จุดด้อย ที่ต่างกัน ทั้งในเรื่องความสวยงาม ความแข็งแรงคงทนทานเพื่อการเลือกใช้อย่างถูกต้องต่อไป
พื้นผิวจากวัสดุธรรมชาติ
ในส่วนของพื้นผิวที่เป็นวัสดุจากธรรมชาติมีข้อดีที่ความสวยงามและความแข็งแกร่ง แต่หากมองลึกลงไปถึงเรื่องของสุขอนามัยแล้ว วัสดุจากธรรมชาติอย่างหินแกรนิตหรือหินอ่อน จะมีข้อเสียอยู่ที่ลักษณะภายในเนื้อหินนั้นมีรูพรุน ทำให้มีอัตราในการดูดซึมน้ำค่อนข้างมาก จึงเป็นจุดเริ่มของการเกิดเชื้อราได้ง่าย อย่างไรก็ตามหินแกรนิตจะมีความหนาแน่นสูงกว่าหินอ่อนและมีรูพรุนน้อยกว่าจึงดูดซึมน้ำน้อยกว่าหินอ่อน จึงทำให้หินแกรนิตเป็นที่นิยมนำมาใช้ในการทำพื้นผิวเคาน์เตอร์ครัวส่วนใหญ่ เนื่องจากหินแกรนิตมีสุขอนามัยที่ดีกว่า กล่าวคือเกิดเชื้อราได้ยากกว่าหินอ่อนนอกจากนี้หินแกรนิตยังมีสีสันสวยงามตามธรรมชาติ

พื้นผิวจากหินสังเคราะห์และวัสดุอื่นๆ
หินสังเคราะห์หรือเรียกว่า “หินเทียม” จะมีความ แข็งแรง มีสีสันสวยงาม และสามารถตอบโจทย์ในเรื่องของสุขอนามัยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไม่มีรูพรุนจึงไม่ก่อให้เกิดการสะสมของเชื้อโรคต่างๆ โดยหินสังเคราะห์นี้ก็มีอยู่หลายประเภท ได้แก่
  • หินสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นจากอะครีลิค 100% มีข้อดีคือไม่มีรูพรุนสามารถป้องกันการดูดซึมน้ำได้อย่างสมบูรณ์ จึงไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค นอกจากนี้หินสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นจาก อะคริลิกยังสามารถป้องกันรังสียูวีและมีอายุการใช้งานยาวนาน ตลอดจนสีของพื้นผิวไม่เปลี่ยนแปลงเพราะไม่ทำปฏิกิริยากับแสงยูวี ทนความร้อน กรดและด่าง ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้พื้นผิวที่ผลิตขึ้นจากอะคริลิกได้รับความนิยมในการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และทางการแพทย์ นอกจากนี้หินสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นจากอะคริลิก 100% จะสามารถดัดโค้งได้ง่ายทำให้ตอบโจทย์ในเรื่องของการตกแต่งและดีไซน์ที่สวยงามได้เป็นอย่างดี
  • อะคริลิกผสมโพลีเอสเตอร์ หินสังเคราะห์ประเภทนี้จะมีคุณสมบัติเด่นในเรื่องความแข็งแรงคงทนทาน ไม่ดูดซึมน้ำ และสามารถทนความร้อนได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตามหินสังเคราะห์ประเภทนี้จะดัดโค้งค่อนข้างยาก ทำให้ตอบสนองต่องานออกแบบที่มีลักษณะโค้งได้ไม่ทั้งหมด
  • หินสังเคราะห์ที่เรียกว่า “Engineered Stone” จะมีส่วนผสมของแร่หินควอตซ์ แก้วโพลิเมอร์เรซิ่นและสี หินสังเคราะห์ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมีแร่หินควอตซ์ แก้ว โพลิเมอร์เรซิ่นและสี คุณสมบัติพิเศษของหินสังเคราะห์ประเภทนี้คือ มีความต้านทานต่อการเกิดรอยด่างสูงกว่าหินแกรนิต และสามารถทนต่อความร้อนได้สูงถึง 200 องศาเซลเซียส
  • หินโปรงแสง (Alabaster) นับเป็นหินสังเคราะห์ประเภทหนึ่ง จุดเด่นคือแสงสามารถผ่านได้ มีลวดลายสวยงาม สามารถตบแต่งลวดลายหลากหลาย สามารถตอบโจทย์ในเรื่องของการตกแต่งและดีไซน์ที่สวยงามได้เป็นอย่างดี แต่หินโปรงแสงมีรูพรุนทำให้ไม่เหมาะกับงานด้านอุตสหกรรมอาหาร แต่เหมาะกับงานตบแต่งเพื่อความสวยงามเป็นหลัก
  • ลามิเนต (Laminate) เป็นวัสดุปิดผิวที่ผลิตจากไม้สำเร็จรูปที่ผลิตขึ้นมาโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังคงใช้วัสดุพื้นฐานเป็นไม้และใช้ เรซิ่นกับไฟเบอร์เป็นส่วนประกอบ ซึ่งลามิเนตจะสามารถดัดโค้งเข้ารูปทรงได้ง่าย แต่ไม่ควรนำไปใช้กับงานที่มีการขัดถู เนื่องจากพื้นผิวสามารถเป็นรอยขีดข่วนได้
  • Eco Panel เป็นวัสดุปิดผิวที่ผลิตจากธรรมชาติผสมผสานกับวัสดุสังเคราะห์อย่างลงตัวโดยใช้วัสดุธรรมชาติร่วมกับโพลิเมอร์ใสหรือกึ่งใสเป็นส่วนประกอบ โดยการนำวัสดุจากธรรมชาติเช่น ดอกกุหลาบ, ใบโพธิ์, ทองคำเปลว และอื่นๆ มาจัดวางในรูปแบบต่างๆ ทำให้ตอบโจทย์ในเรื่องของการตกแต่งและดีไซน์ที่สวยงามได้อย่างลงตัว
อย่างไรก็ตามการจะเลือกใช้วัสดุประเภทใดมาใช้ปิดผิวนั้นขึ้นอยู่กับการออกแบบ การนำไปใช้ รสนิยมของผู้ออกแบบ หรือ เจ้าของโครงการ
Image
หินสังเคราะห์ หรือ Solid Surface คือ หินประดิษฐ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ทดแทนหินธรรมชาติ แต่ไม่มีส่วนผสมจากหินธรรมชาติ โดยมีการเพิ่มคุณสมบัติในด้านต่าง ๆ ให้สามารถนำมาใช้งานได้สะดวกกว่า ซึ่งหินสังเคราะห์จะประกอบด้วย 2 ส่วนคือ แร่ธรรมชาติ และอะคริลิคเรซิ่น หินสังเคราะห์ สามารถใช้ในบริเวณบ้านได้เช่น ห้องครัว, ห้องน้ำ, และพื้นที่ทางธุรกิจ เช่น ธนาคาร, สนามบิน, โรงเรียน, ภัตตาคาร, โรงพยาบาล, โรงอาบน้ำ และสำนักงานตัวอย่าง ของการนำไปใช้ได้แก่ เคาน์เตอร์ท็อปในครัว, เคาน์เตอร์ท็อปในห้องน้ำ, เคาน์เตอร์ต้อนรับ, เคาน์เตอร์ทำงาน, วานิตี้ ท็อป, อ่างล้างจาน, ห้องน้ำ, กำแพงรอบทิศทาง, กรอบหน้าต่าง, กระดานที่ผนัง, โต๊ะท็อป และแผงกั้นคนเข้า

หินสังเคราะห์ มีสองแบบคือ หินสังเคราะห์อะคริลิก 100% กับหินสังเคราะห์ Polyester โดยจะแตกต่างกันที่ส่วนผสมทางเคมีของสารสังเคราะห์ที่ผสมเข้าไป จึงทำให้หินทั้งสองประเภทมีคุณสมบัติและราคาที่แตกต่างกัน โดยมีรายละเอียดต่อไปนี้

หินสังเคราะห์เกรดอะคริลิก 100% (100% Acrylic Solid Surface) เป็นหินสังเคราะห์เกรดดีที่สุด ผลิตขึ้นมาจากวัสดุจากธรรมชาติ วัสดุสังเคราะห์และสารเติมแต่ง โดยวัสดุที่มาจากธรรมชาติคืออะลูมินัมไตรไฮเดรต (Aluminum Trihydrateh, ATH) ส่วนวัสดุสังเคราะห์เป็นวัสดุจำพวกโพลิเมอร์ เช่น อะคริลิก (Poly methyl methacrylate, PMMA) โดยวัสดุแต่ละชนิดมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

  1. อะลูมินัมไตรไฮเดรต (ATH) จะถูกผลิตมาจากหินแร่ที่มีส่วนผสมของอลูมินัม (Hydrargillite) ATH โดยทั่วไปมีลักษณะเป็นผง มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องป้องกันการลามไฟ (flame retardant) และยับยั้งการเกิดควัน (Smoke suppression) ATH ที่คุณภาพดีจะมีลักษณะเป็นฝุ่นแป้งละเอียด หากนำมาผลิตเป็นหินสังเคราะห์จะทำให้หินสังเคราะห์มีผิวละเอียด สวยงาม
  2. อะคริลิกเป็นโพลิเมอร์ชนิดหนึ่งที่สามารถคืนรูปได้ (Thermoplastic) มีคุณสมบัติเด่นคือ มีความเหนียว (Toughness), ทนทานต่อแรงกระแทก (Impact Strength) เนื้อวัสดุมีความใสและแวววาว (Transparent) สามารถเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกัน (Chemical Welding) จนรอยต่อเล็กมากแทบไม่เห็นรอยต่อ ดัดโค้งขึ้นรูปได้ (Thermoforming) ทนกรด ด่าง และ สารเคมีได้ดี ด้วยคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจึงใช้ อะคริลิก เป็นวัสดุทำอุโมงค์ใต้น้ำแทนกระจก นอกจากนี้อะคริลิกยังมีคุณสมบัติทนต่อสภาวะอากาศและแสงแดดได้ดี (Weather resistant) จึงได้ถูกนำไปใช้เพื่องานตกแต่งภายนอกได้อีกด้วยเช่น ป้ายโฆษณาภายนอกอาคาร ที่สำคัญอะคริลิกสามารถนำไปรีไซเคิลได้เป็นการลดปัญหาขยะและภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่งด้วย
  3. สารเติมแต่ง (Additive) เป็นสารที่ช่วยช่วยเสริมคุณสมบัติเดิมของวัสดุให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น เช่น สารยับยั้งเชื้อรา สารต้านทานรังสียูวี
หินสังเคราะห์เกรดอะคริลิก 100% จะรวมคุณสมบัติของ ATH คือ ไม่ลามไฟ, ยับยั้งการเกิดควัน และคุณสมบัติอะคริลิกคือเหนียว แวววาว ดัดโค้งได้ ทนทานต่อแสงแดดและสภาวะอากาศภายนอก สามารถรีไซเคิลได้ นอกจากนี้ยังมีสารเติมแต่งอื่นๆ ที่ช่วยเสริมคุณสมบัติของหินให้ดียิ่งขึ้นเช่น สารยับยั้งเชื้อรา สารป้องกันรังสียูวี

หินสังเคราะห์เกรดผสม (Acrylic-modified polyester solid surface) มีชื่อทางการค้าหลายชื่อเช่น หินสังเคราะห์ Polyester, หินสังเคราะห์ Modified (ต่อไปนี้ใช้ชื่อว่า หินสังเคราะห์ Polyester) ผลิตขึ้นมาจากวัสดุจากธรรมชาติ วัสดุสังเคราะห์และ สารเติมแต่ง โดยภาพรวมแล้วหินสังเคราะห์แบบ Polyester ต่างกับหินสังเคราะห์เกรดอะคริลิก 100% ตรงที่จะลดปริมาณอะคริลิกลงแล้วเติมโฟลีเอสเตอร์แบบไม่อิ่มตัวเข้าไปแทนเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิต โดยโฟลีเอสเตอร์แบบไม่อิ่มตัวมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

โพลีเอสเตอร์ไม่อิ่มตัว (Unsaturated Polyester, UP) เป็นพลาสติกชนิดคืนรูปไม่ได้ (Thermosetting) กล่าวคือไม่สามารถนำมาหลอมเหลวใหม่ได้ มีคุณสมบัติเด่นคือ ทนกรด ด่าง สารเคมีได้ดี ทนต่อแรงกระแทกได้ดี (Impact Strength) แต่จะไม่เหนียว และใสเท่ากับอะคริลิก และไม่สามารถดัดโค้งได้เหมือนอะคริลิก ส่วนใหญ่โพลีเอสเตอร์ไม่อิ่มตัวจะถูกนำไปใช้งานหล่อไฟเบอร์คลาสทำชิ้นส่วนเรือ ขวดน้ำ หรือ งานผลิตเม็ดกระดุมต่างๆ
Image
*ข้อมูลจาก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC)
  1. เนื้อ หินไม่เป็นรูพรุน จึงไม่กักเก็บเชื้อโรค และไม่เก็บกลิ่น ต่างจากหินสังเคราะห์ชนิดที่เป็นรูพรุนจะสามารถสังเกตุเห็นสิ่งสกปรกที่อุด อยู่ตามรูพรุนของหินได้อย่างชัดเจน
  2. ความหนาของหินสังเคราะห์ Solid Surface คือ 12 - 13 มม. - หินสังเคราะห์ Solid Surface สามารถดัดโค้งได้ตามรูปแบบที่ลูกค้าต้องการ และสามารถช่วยแก้ปัญหาในเรื่องรอยต่อได้เป็นอย่างดี
  3. มีหลากหลายสีสันให้เลือกมากมาย ทั้งสีพื้นและสีลาย
  4. เมื่อผ่านการใช้งานจนหน้า Top เป็นร่องรอย สามารถขัดให้เหมือนใหม่ได้
  5. หาก หน้า Top เกิดรอยแตกร้าว หรือแตกกออกเป็นชิ้นๆ สามารถซ่อมแซมให้เหมือนใหม่ได้ ด้วยการซ่อมแซมเฉพาะจุดที่เกิดปัญหา และขัดให้เหมือนใหม่อีกครั้งโดยไม่ต้องเปลี่ยนหน้า Top ทั้งแผ่น
การเลือกซื้อหินสังเคราะห์และข้อควรระวัง
หินสังเคราะห์หากแบ่งตามคุณภาพสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ หินสังเคราะห์เกรดอะคริลิก 100% กับหินสังเคราะห์เกรดผสมโพลีเอสเตอร์ การเลือกใช้ต้องดูจากการใช้งานและงบประมาณเป็นหลัก หากเป็นหินสังเคราะห์สำหรับใช้งานภายนอกต้องใช้หินสังเคราะห์ที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการ และได้มาตราฐาน ถ้ามีผลงานการติดตั้งจนเป็นที่ยอมรับแล้วในต่างประเทศอย่างมากมายก็เป็นส่วนหนึ่งที่ครวนำมาพิจารณา ส่วนงานตกแต่งภายในที่เป็นงานดัดโค้งรูปทรงอิสระต่างๆ (Organic Form) ต้องการความเงางาม มีสีสันคงทนไม่เปลี่ยนแปลง แนะนำให้ใช้หินสังเคราะห์อะคริลิก 100% เนื่องจากหินสังเคราะห์อะคริลิก 100% สามารถดัดโค้งได้มีสีสันคนทน (ผ่านมาตรฐาน NEMA LD-3) และสามารถรีไซเคิลได้ ส่วนงานตบแต่งภายในที่มีลักษณะตรงๆ ไม่มีส่วนโค้งเว้า และไม่ได้ต้องการสีสันคงทนถาวรมากนัก แนะนำให้ใช้หินสังเคราะห์ Polyester เนื่องจากมีราคาจำหน่ายที่ถูกกว่า โดยควรนำไปใช้กับงานที่ไม่ได้ต้องการความคงทนถาวรมากนักส่วนใหญ่ได้แก่ งานโชว์รูมที่ใช้งานเพียงชั่วคราว หรือผู้ซื้อที่มีงบประมาณจำกัด

ควรซื้อหินสังเคราะห์ยี่ห้ออะไร?
หินสังเคราะห์มีมากมายหลากหลายยี่ห้อและหลากหลายสีสัน ควรเลือกซื้ออย่างไร เบื้องต้นผู้ซื้อควรมีเป้าหมายว่า มีงบประมาณเท่าใด สีอะไร และต้องการหินสังเคราะห์แบบอะคริลิก 100% หรือแบบ Polyester เมื่อตั้งเป้าหมายได้แล้วควรเลือกซื้อหินสังเคราะห์ให้ตรงตามที่ต้องการ หากผู้ขายไม่ระบุว่าเป็นหินสังเคราะห์ประเภทใดควรสอบถามให้ชัดเจน จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้รับมาเปรียบเทียบระหว่างราคากับคุณภาพหินที่ได้รับ หากราคาใกล้เคียงกัน ได้หินคุณภาพใกล้เคียงกันก็ควรเลือกยี่ห้อที่เชื่อถือได้มีผลงานชัดเจน โดยผู้ซื้ออาจนำชื่อยี่ห้อไปหาบน www.google.com ก็ได้ หากยี่ห้อนั้นๆ ไม่มีตัวตน หรือมีตัวตนเฉพาะในประเทศไทยก็ควรพิจารณาพิจารณาให้รอบคอบ เพราะอาจจะเป็นสินค้า OEM ที่ไม่มีแหล่งผลิตที่แน่นอน เช่น โฆษณาว่า ผลิตอิตาลีแท้จริงแล้วอาจผลิตในประเทศจีนก็เป็นได้ ที่สำคัญผู้ขายควรเป็นตัวแทนจำหน่ายของหินสังเคราะห์ยี่ห้อนั้นๆ อย่างถูกต้องเพื่อให้ผู้ซื้อมั่นใจได้ว่ารับสินค้าตามยี่ห้อที่สั่งซื้อไปจริงและได้รับบริการหลังการขายอย่างเป็นถูกต้อง ยุติธรรม

ข้อควรระวัง ในการเลือกซื้อหินสังเคราะห์
การซื้อหินสังเคราะห์นั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือซื้อหินสังเคราะห์แบบอะคริลิก 100% จากยี่ห้อ A ก็ควรได้รับสินค้าตามที่สั่ง แต่ในความเป็นจริงผู้ซื้ออาจติดต่อกับผู้รับเหมา ตกแต่งบ้าน ซึ่งไม่ได้ซื้อกับผู้จำหน่ายหินสังเคราะห์โดยตรง ดังนั้นผู้ซื้อควรขอใบรับรองสินค้าจากผู้จำหน่ายหิน ผ่านทางผู้รับเหมาได้ โดยใบรับรองควรระบุวันที่จำหน่ายและชนิดยี่ห้อของหินอย่างชัดเจน เนื่องจากปัจจุบันนี้มีผู้จำหน่ายอิสระที่ไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายเฉพาะยี่ห้อเกิดขึ้นมาใหม่อย่างมากมาย ผู้ซื้อจึงควรขอรับใบรับรองสินค้าจากผู้แทนจำหน่ายหินยี่ห้อนั้น ๆ เพื่อเป็นการยืนยันว่าซื้อหินยี่ห้อ A ได้รับสินค้าจากยี่ห้อ A จริง

จะรู้ได้อย่างไรว่าได้รับหินสังเคราะห์อะคริลิก 100%
หินสังเคราะห์เกรดอะคริลิก 100% กับแบบ Polyester หลังจากติดตั้งไปใหม่ๆ ไม่สามารถแยกออกด้วยตาเปล่า เนื่องจากหินจะได้รับการเคลือบแว๊กให้มันวาวเหมือนๆ กัน แต่เมื่อใช้งานเป็นระยะเวลาเพียง 1-2 เดือน แว๊กเหล่านั้นจะหลุดออก จึงทำให้เห็นเนื้อหินจริง แล้วจึงสังเกตและแยกประเภทของหินได้ แต่การทำแบบนี้มีความยุ่งยาก และจะรู้ได้หลังติดตั้งงานไปแล้ว(จ่ายเงินแล้ว) ดังนั้นก่อนติดตั้งหินท่านสามารถดูด้านหลังหินได้ เนื่องจากด้านหลังหินยี่ห้อนั้น ๆ จะพิมพ์ยี่ห้อลงไปด้วย ซึ่งเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการพิสูจน์ยี่ห้อของหินนั้นๆ อย่างไรก็ตามยี่ห้อที่ติดอยู่ด้านหลังของหินอาจลบเลือนไปได้เพียงจากขั้นตอนการผลิต ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดจึงควรขอรับใบรับรองจากผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

ชิ้นงาน "หินสังเคราะห์"

Image